เกียร์ออโต้ หรือเกียร์อัตโนมัติ แต่ละตำแหน่ง มีความหมายอย่างไรบ้าง เหมาะสำหรับมือใหม่หัดขับ หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นขับรถ Sanook Auto จะพาไปดูกัน
เกียร์อัตโนมัติไม่ว่าจะเป็นเกียร์แบบดั้งเดิม หรือเกียร์ CVT ต่างก็มีสัญลักษณ์ที่แป้นเกียร์คล้ายกัน โดยมากจะมีสัญลักษณ์ P R N และ D เป็นพื้นฐานของทุกคัน แต่หากเป็นรถรุ่นเก่าอาจมีตัวเลข 3, 2, 1 หรือ L ปรากฏอยู่ แต่หากเป็นรถรุ่นใหม่อาจมีตัวอักษร S หรือ M พร้อมตำแหน่งบวก (+) และ (-) และถ้าเป็นรถไฮบริดจะมีตัวอักษร B ปรากฏอยู่
ใช้สำหรับจอดรถเมื่อถึงจุดหมาย เมื่อเข้าเกียร์ P ระบบจะล็อกล้อ ทำให้รถไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการจอดรถกีดขวางรถคันอื่น เพราะรถจะไม่สามารถเข็นได้เลยแม้แต่น้อย
ใช้สำหรับถอยหลัง เมื่อเข้าเกียร๋ตำแหน่ง R รถจะถอยหลังทันทีที่ปล่อยเบรก และสามารถเพิ่มความเร็วในการถอยหลังได้ด้วยการกดคันเร่งเบาๆ ควรระมัดระวังและตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าไม่มีสิ่งกีดขวางด้านหลังก่อนถอยหลัง
ใช้สำหรับเกียร์ว่าง รถจะไม่เคลื่อนที่ แต่จะไม่มีการล็อกล้อเหมือนเกียร์ P ใช้เมื่อจอดรถชั่วคราว เช่น จอดติดไฟแดง หรือเมื่อจอดรถกีดขวางคันอื่น เนื่องจากรถจะยังสามารถเข็นได้ แต่ควรระมัดระวังการจอดรถบนทางลาดชัน ควรดึงเบรกมือจนสุด เพราะรถมีโอกาสไหลได้
เป็นตำแหน่งเกียร์ที่ใช้บ่อยที่สุด ใช้สำหรับการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ระบบเกียร์จะเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติตามความเร็วและรอบเครื่องยนต์ รวมถึงน้ำหนักเท้าของผู้ขับขี่
เกียร์ออโต้ยุคเก่าอาจมีตำแหน่งเกียร์ 3 หรือ 2 (รถบางรุ่นอาจใช้สัญลักษณ์ L แทนเกียร์ 1) เหมาะสำหรับการขับขึ้นหรือลงทางชัน ช่วยเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ในการขับขึ้นทางชัน และช่วยหน่วงความเร็วในการขับลงทางชัน
ส่วนเกียร์ 1 หรือเกียร์ L (Low) เป็นเกียร์ที่มีอัตราทดสูงที่สุด เหมาะกับการขับขึ้นหรือทางที่มีลักษณะชันมากๆ
ใช้สำหรับการขับขี่แบบสปอร์ตเน้นความฉับไว ระบบเกียร์จะเปลี่ยนเกียร์ช้าลง รอบเครื่องยนต์จะค้างสูงเพื่อให้เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น เหมาะสำหรับการเร่งแซง หรือการขับขี่ที่ต้องการความคล่องตัวเป็นพิเศษ
รถบางรุ่นอาจไม่มีตำแหน่งเกียร์ S แต่จะใช้ปุ่ม Sport ซึ่งมีลักษณะการทำงานคล้ายกัน
ใช้สำหรับโหมดการขับขี่แบบแมนนวล ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์เองได้ โดยการผลักคันเกียร์ไปข้างหน้าหรือข้างหลัง หรือใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift) ที่พวงมาลัย
พบได้ในรถไฮบริด ใช้สำหรับการขับขึ้นหรือลงทางลาดชัน จะช่วยหน่วงความเร็วของรถ โดยใช้แรงหน่วงจากเครื่องยนต์ (Engine Brake) เหมาะสำหรับการขับขี่ในเส้นทางที่มีความลาดชันสูง หรือต้องการชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่
ทั้งนี้ การเลือกตำแหน่งเกียร์อย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ หากมีความจำเป็นต้องขับรถขึ้นและลงเขา ก็ควรเลือกใช้เกียร์ที่เหมาะสม เพื่อลดการใช้เบรกให้น้อยลง จะช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ครับ